คาหนัง.! คาเขา.! บุกค้นโรงงานขยะอิเล็กทรอนิกส์ราชบุรี เจอผิด 2 แห่ง

คาหนัง.! คาเขา.! รองผู้บัญชาการตำรวจ ลงพื้นที่จังหวัดราชบุรี ตรวจโรงงานนำเข้าขยะอิเลคทรอนิค พบผิดกฎหมาย 2 แห่ง สั่งดำเนินคดี 4 ข้อหาหลัก นำเข้าหรือมีไว้ซึ่งวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 โดยไม่ได้รับอนุญาต ตั้งและประกอบกิจการโรงงานประเภทที่ 3 โดยไม่ได้รับอนุญาต ปล่อยของเสียทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการฝ่าฝืนคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการ หลังมีการจับกุม

(คลิปในข่าว)

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 21 ก.ค.61 พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และนายสุรพล ชามาตย์ หัวหน้าผู้ตรวจกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้าตรวจสอบที่บริเวณบริษัท มิราเคิล เลเธอร์ จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 159 หมู่ 9 ต.ห้วยไผ่ อ.เมือง จ.ราชบุรี ซึ่งเป็นบริษัทที่นำเข้าขยะ อิเล็กทรอนิกส์มารีไซเคิล ซึ่งมีทั้งอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ พลาสติก และแผงไฟ หลังจากทางเจ้าหน้าที่ในจ.ราชบุรีได้เคยเข้าตรวจสอบและทำการจับกุมไว้แล้วตั้งแต่วันที่ 22 มิ.ย.61 ที่ผ่านมาเพราะได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านว่า โรงงานดังกล่าวได้มีกลิ่นโชยเหม็นไปทั่วบริเวณ แต่หลังจากมีการจับกุมแล้วทางโรงงานก็ยังคงมีการลักลอบนำเข้าขยะอิเลคทรอนิคมารีไซเคิลอยู่

ซึ่งจากการตรวจสอบในวันนี้ก็พบว่าทางโรงงานยังทำงานโดยการคัดแยกขยะและนำไปบดอัดเป็นเม็ดพลาสติกเพื่อนำไปขายอยู่ โดยไม่ได้สนใจคำสั่งให้หยุดกิจการของทางอุตสาหกรรมจังหวัดราชบุรี นอกจากนี้ยังสามารถควบคุมแรงงานต่างด้าว สัณชาตจีน สัณชาติพม่า และไทย ที่กำลังทำงานในโรงงานซึ่งพบว่าไม่มีเอกสารใดๆ ไว้ดำเนินคดี มีบางส่วนได้วิ่งหลบหนีไปก่อนหน้านี้แล้ว และเมื่อทำการตรวจสอบโดยละเอียดพบว่าโรงงานแห่งนี้ได้นำขยะอิเลคทรอนิคมาคัดแยก แล้วล้างให้สะอาดก่อนจะนำไปบดอัดเป็นเม็ดพลาสติก ซึ่งน้ำที่เกิดจากการชะล้างนั้นมีสารเป็นเปื้อนที่อันตรายได้ไหลลงลำน้ำสาธารณะด้วย จึงได้สั่งให้ดำเนินคดีเพิ่มอีกด้วย

นอกจากนี้ยังได้เข้าตรวจสอบที่บริเวณโรงงานร้างแห่งหนึ่งในหมู่ 3 ต.น้ำพุ อ.เมือง ซึ่งเป็นสถานที่ที่บริษัท มิราเคิล เลเธอร์ จำกัด ได้ไปทำเรื่องขอเช่าพื้นที่เพื่อนำขยะอิเลคทรอไปเก็บไว้ ซึ่งขณะเข้าตรวจค้นพบว่ามีรถบรรทุกตู้คอนเทนเน่อร์ เข้ามาจอดในบริเวณดังกล่าวหลายคัน เจ้าหน้าที่จึงได้ขอตรวจค้น ซึ่งพบว่ารถทั้งหมดนั้นได้นำขยะอิเลคทรอนิคมาจากคลองเตย กรุงเทพฯ เพื่อนำมาไว้ที่บริเวณดังกล่าวเพื่อรอการคัดแยก จึงได้ตรวจยึดไว้ทั้งหมดเพื่อดำเนินคดี

โดยพล.ต.ท.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ว่า.. การที่เข้ามาตรวจในครั้งนี้เพราะทราบว่าหลังถูกจับกุมแล้วทางโรงงานก็ยังคงทำงานอยู่ จึงได้เข้าตรวจ ซึ่งก็พบว่าโรงงานแห่งนี้มีขยะอิเลคทรอนิคอยู่เต็มพื้นที่โรงงาน และเป็นขยะอันตราย ทั้งนี้ยังพบแรงงานต่างด้าวอีกจำนวนมาก และพบว่ายังมีการเดินเครื่องจักรทำงานอยู่ จึงได้สั่งการให้ดำเนินคดี ข้อหานำเข้าหรือมีไว้ซึ่งวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 โดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตาม พรบ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตั้งและประกอบกิจการโรงงานประเภทที่ 3 โดยไม่ได้รับอนุญาต มีความผิดตามพรบ.โรงงาน และในกรณีที่มีการกรองขยะหรือวัตถุอันตรายไว้นอกอาคารโรงงานซึ่งมีแสงแดดส่องก็จะเกิดความร้อนละเหยกลายเป็นมลภาวะขึ้นไปในอากาศ และเมื่อมีฝนตกลงมาก็จะชะล้างปนเปื้อนลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ ถือว่าไม่ปฎิบัติตากฎกระทรวง เรื่องการปล่อยของเสียทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่วนข้อหาสุดท้ายคือการฝ่าฝืนคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการ หลังมีการจับกุมและให้หยุดประกอบกิจการไปแล้ว โดยให้ปรับวันละ 5,000 บาท จนกว่าจะหยุดกิจการ ส่วนของกลางทั้งหมดก็จะต้องทำการอายัดเอาไว้และดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาล ถ้าเป็นของมีค่าก็ให้ตกเป็นของแผ่นดิน แต่ถ้าเป็นของอันตรายที่จะต้องทำการผลักดันออกนอกประเทศ ก็จะต้องให้ผู้ประกอบการส่งออกนอกประเทศโดยให้ผู้ประกอบการดำเนินการเรื่องค่าใช้จ่ายเอง